การเขียนโค้ดภาษา C ในเบื้องต้น
การเขียนโปรแกรมภาษา C ขั้นพื้นฐาน
ประวัติโดยย่อของภาษา C
ภาษา C ได้รับการออกแบบและพัฒนาขึ้นโดย Dennis Ritchie เมื่อปีค.ศ. 1972 ณ ห้องปฏิบัติการเบลล์ (Bell Laboratory) โดยออกแบบเพื่อใช้งานบนระบบปฏิบัติการ Unixบนเครื่องเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ DEC PDP-11ในความเป็นจริงภาษา C ได้สืบสานมาจากภาษา B ที่พัฒนาขึ้นโดย Ken Thompson ซึ่งภาษา B นี้ตั้งอยู่บนภาษา BCPL ซึ่งพัฒนาโดย Martin Richards
ในช่วงแรกมาตรฐานภาษา C ในบางส่วนถูกกำหนดไว้คลุมเครือ ไม่ชัดเจนนัก ส่งผลให้ผู้ผลิตคอม ไพล์นำมาตีความหมายแตกต่างกันไป จนกระทั่งในราวปี ค.ศ. 1983 ทางสถาบัน ANSI (American National Institute)เข้ามาแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการนำภาษา C มาบรรจุไว้เป็นมาตรฐานที่รับรองโดย ANSIจึงเป็นที่มาของ ANSI C ในที่สุด และในปี ค.ศ. 1988 นี้เอง Brian Kernighan และ Dennis Ritchie ก็ได้มีการปรับปรุงหนังสืกที่เขาเขียนอีกครั้งซึ่งเป็นฉบับ Second Edition ภายใต้ชื่อว่า "The C Programming Language"โดยมีการประทับคำว่า "ANSI C "ลงไปด้วย
ต่อมาในปี ค.ศ. 1990 นี้เองทาง ANSI ได้กำหนดมาตรฐานของภาษา C เสร็จสมบูรณ์ เพื่อให้ผู้พัฒนาคอมไพล์เลอร์ทั้งหลายนำไปสร้างคอมไพล์เลอร์มาตรฐาน แต่อย่างไรก็ตามคอมไพล์เลอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยส่วนใหญ่แล้ว มักมิได้พัฒนาตามมาตรฐาน ANSI อย่างเคร่งครัดเสียที่เดียว
ถึงแม้นว่าปัจจุบันภาษา C ได้ถูกนำไปต่อยอดและพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ในเรื่องของชุดคำสั่งที่สนับสนุนการโปรแกรมเชิงวัตถุ (Object-Oriented Programming) ไม่ว่าจะเป็นBorland C++ หรือ MS-Visual C++ ก็ตาม แต่ทั้งนี้มาตรฐานชุดคำสั่งของ ANSI C ส่วนใหญ่แล้วจะสามารถนำมาใช้งานร่วมกันได้อย่างไม่มีปัญหา
องค์ประกอบของการเขียนโค้ดภาษา C ในเบื้องต้น
โปรแกรมที่พัฒนาด้วยภาษา C ทุกโปรแกรมจะมีโครงสร้างที่ประกอบด้วย 5 ส่วน หลัก ๆ ดังนี้
1. ส่วนเฮดเดอร์ไฟล์ (Header File of Processing Directive) ส่วนนี้จะมีจุดสังเกตคือ มีเครื่องหมาย # เสมอ |
คอมไพล์เลอร์จะทำงานกับส่วนนี้เป็นส่วนแรก ส่วนเฮดเดอร์ไฟล์เป็นส่วนที่เก็บไลบรารีมาตรฐานของภาษา C |
จะถูกดึงเข้ามารวมกับโปรแกรมในขณะที่กำลังคอมไพล์ คำสั่ง #include สามารถเขียนได้ 2 รูปแบบ คือ |
รูปแบบที่ 1
รูปแบบที่ 2
การเขียนโปรแกรมภาษา C เฮดเดอร์ไฟล์ที่เก็บไลบรารีมาตรฐานในการจัดการเกี่ยวกับอินพุตและเอาต์พุต ของโปรแกรมก็คือ Stdio.h |
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ stdio.h เป็นเฮดเดอร์ที่เกี่ยวข้องกับฟังชั่นอินพุตและเอาต์พุต Input and Output) เช่น ฟังก์ชั่น printf( ) , scanf ( ) conio.h เป็นเฮดเดอร์ที่เกี่ยวกับฟังก์ชั่น รอรับคำสั่ง เช่น getch ( ) |
2. ส่วนของตัวแปร (Global declarations statement) เป็นส่วนประกาศตัวแปรที่ใช้ร่วมกันทั้งโปรแกรม ส่วนนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ |
ตัวอย่าง |
3. ส่วนของฟังก์ชันหลัก (Function main) ฟังก์ชันนี้เริ่มต้นการทำงานด้วยฟังก์ชัน main() |
โดยขอบเขตของฟังก์ชันจะเริ่มต้นด้วยเครื่องหมาย { และสิ้นสุดด้วยเครื่องหมาย } คือ การทำงานของฟังก์ชั่นจะ |
เริ่มต้นที่เครื่องหมาย { และจะสิ้นสุดที่เครื่องหมาย } ฟังก์ชั่น main() สามารถเขียนในรูปแบบของ void main(void) ก็ได้
|
4. ส่วนฟังก์ชันที่กำหนดเอง (User-defined function) เป็นส่วนประกาศตัวแปรที่สามารถใช้ได้เฉพาะภายในฟังก์ชันของตนเองเท่านั้น |
โดยต้องอยู่ในเครื่องหมาย { } สามารถเรียกใช้ได้ภายในโปรแกรม แนวคิดของฟังก์ชันก็คือนำโค้ดกลับมาใช้ใหม่ |
โดยที่ไม่ต้องเขียนโปรแกรมใหม่ทั้งหมด ก่อนที่เราจะใช้ฟังก์ชันมันจำเป็นต้องถูกประกาศก่อน |
5. ส่วนของตัวโปรแกรม( Program) เป็นส่วนคำสั่งของการทำงานของโปรแกรมโดยที่คําสั่งในแต่ละคำสั่งต้องจบด้วยเครื่องหมาย ; |
(เซมิโคลอน) เสมอ |
การอธิบายโปรแกรม (Program Comment) |
การคอมเมนต์ (comment) เป็นหมายเหตุของโปรแกรม มีไว้เพื่อให้ผู้เขียนโปรแกรมใส่ข้อความอธิบายกำกับลงไปใน source code |
ซึ่งคอมไพเลอร์จะไม่ทำการแปลผลในส่วนที่เป็นคอมเมนต์นี้ |
คอมเมนต์ในภาษาซีมี 2 แบบคือ
- คอมเมนต์แบบบรรทัดเดียว ใช้เครื่องหมาย //
- คอมเมนต์แบบหลายบรรทัด ใช้เครื่องหมาย /* และ */
อ้างอิง
https://sites.google.com/a/atsamat.ac.th/krudit/basic-c/history-of-c
https://www.kruja.club/502.html
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น